Urus SE Lamborghini Urus SE ใหม่ ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดพละกำลังมากถึง 800 แรงม้า urus se 2024 พร้อมวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลมากถึง 60 กม. หลังจากที่ Lamborghini ได้เปิดตัว Urus จัดจำหน่ายมาเป็นระยะเวลาประมาณ 6 ปี และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากด้วยรูปแบบรถที่เป็น SUV แต่มีพละกำลังเหลือๆ เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 640 แรงม้า นับเป็นรถ SUV ที่มีแรงม้ามากที่สุดอีกหนึ่งคันจากโรงงาน ออโตโมบิลี ลัมโบร์กินี เปิดตำนานของแบรนด์ เผยโฉม “Urus SE” lamborghini ซูเปอร์เอสยูวีระบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของลัมโบร์กินีในงาน lamborghini urus
Urus SE Volkswagen Group Media Night ซึ่งจัดขึ้นก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Auto China Beijing 2024 โดย “Urus SE” นำเสนอดีไซน์รถยนต์แนวใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ และระบบส่งกำลัง 800 CV ที่ไม่มีคู่แข่ง ชูเวอร์ชั่น PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle)
เป็นรุ่นท็อปในตระกูล Urus ทั้งในด้านความสบาย ประสิทธิภาพ การปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศ และประสบการณ์ที่สนุกสนานในการขับขี่ ผสานหัวใจสำคัญทั้ง 2 ด้านของแบรนด์คือระบบการเผาไหม้และระบบไฟฟ้าเพื่อให้ได้แรงบิดและกำลังเครื่องสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน โดยสามารถลดการปล่อย ไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 80%
“รถยนต์ตระกูล Urus ได้เปลี่ยนกรอบแนวคิดของวงการเอสยูวีไปอย่างสิ้นเชิง และได้สร้างเซกเมนต์ใหม่สู่โลก ยานยนต์” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลัมโบร์กินี กล่าว “ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี รถยนต์ Urus ได้กลายเป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์ ช่วยให้ลัมโบร์กินีสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ และเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้ในกลุ่มตลาดที่มีความสำคัญ และด้วยการเปิดตัว Urus SE ก็ทำให้เราก้าวหน้าสู่อนาคตไปอีกขั้นซึ่งสอดคล้องตามแผนกลยุทธ์ Direzione Cor Tauri 2.0 เพื่อเดินหน้าสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าและแนวทางเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเริ่มดำเนินงานพร้อมกับการเปิดตัวซูเปอร์สปอร์ตคาร์ Revuelto เมื่อเดือนมีนาคม 2023 ที่ผ่านมา” lamborghini urus
การขับขี่ที่ไม่มีคู่แข่ง
Urus SE เพิ่มประสิทธิภาพและพลศาสตร์ แรงบิดและกำลังเครื่องเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด อาทิ การใช้ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าระหว่างเพลาทั้งสองและระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า
“ภารกิจของโครงการนี้ แน่นอนว่าคือการนำเสนอประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับที่ผสานกับลักษณะเด่นในดีเอ็นเอของแบรนด์ลัมโบร์กินี” มร.รูเว็น โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว “Urus SE ถูกกำหนดให้เป็นรุ่นท็อปของคลาส ทั้งในด้านความเพลิดเพลินของการเดินทางและพลศาสตร์การขับขี่ โดยเป็นรถยนต์ที่ผสานคุณสมบัติที่แตกต่างกันไว้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายที่สมบูรณ์แบบ และในขณะเดียวกันก็มอบสมรรถนะที่เหนือระดับและการขับขี่ที่สนุกสนานมากที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่มีรถยนต์รุ่นใดจะทำได้เทียบเท่า” lamborghini
เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ถูกนำมาพัฒนาใหม่เพื่อให้สามารถทำงานกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้ ทำให้มีกำลังเครื่อง 620 CV (456 kW) และแรงบิด 800 Nm โดยระบบสันดาปเข้ากับระบบส่งกำลังไฟฟ้าเพื่อมอบกำลังเครื่อง 192 CV (141 kW) และแรงบิด 483 Nm ทีมวิศวกรมีการปรับจูนการทำงานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) กับมอเตอร์ไฟฟ้า จนได้กำลังเครื่องสูงสุดที่ 800 CV โหมดการขับขี่และสภาพพื้นผิวถนน พร้อมติดตั้งแบตเตอรีลิเทียม 25.7 kWh บริเวณใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านบนระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า urus se
มอเตอร์ซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor) ซึ่งติดตั้งอยู่ในระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 ระดับสามารถช่วยบูสต์เครื่องยนต์สันดาป V8 และยังเป็นตัวสร้างแรงฉุดได้ ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบไฟฟ้า 100% ที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 60 กม.เมื่อขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้า (EV Mode) เพียงอย่างเดียว lamborghini urus
เทคโนโลยีใหม่ที่นำมาใช้ใน Urus SE เป็นครั้งแรกคือระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ที่ติดตั้งไว้บริเวณกลางตัวรถ พร้อมคลัตช์อิเลกโตรไฮดรอลิกแบบมัลติเพลต ซึ่งช่วยสร้างแรงบิดแปรผันระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังได้ต่อเนื่อง ทำหน้าที่สอดรับกับเฟืองท้ายไฟฟ้าบนเพลาหลัง กระจายแรงบิดเมื่อทำการเบรก ทำให้รถยนต์สามารถควบคุมอาการ oversteer ได้แบบ “on demand”
ทั้งสองระบบที่กล่าวมา ได้รับการออกแบบและปรับจูนการทำงานให้เหมาะสมกับการยึดเกาะถนนทุกรูปแบบและทุกสไตล์การขับขี่ มอบแรงฉุดและการตอบสนองที่ฉับไวสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นในสนามแข่งหรือวิ่งตะลุยไปบนเนินทราย พื้นน้ำแข็ง หรือทางดิน urus se
Urus SE เป็นรถยนต์ที่โดดเด่นที่สุดในคลาสเดียวกัน ด้วยแรงบิดและกำลังเครื่อง 800 CV (588 kW) ที่ 6,000 รอบต่อนาทีและสามารถให้แรงบิดรวม 950 Nm ที่ 1,750 รอบต่อนาทีและสูงสุดที่ 5,750 รอบต่อนาที มีประสิทธิภาพสูงสุดในคลาส การปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักเครื่อง (Weight-to-Power Ratio) ที่ 3.13 kg/CV (เปรียบเทียบกับ 3.3 ในรุ่น Urus S) โดย Urus SE สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (Urus S ที่ 3.5 วินาที) และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 11.4 วินาที (Urus S ที่ 12.5 วินาที) สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 312 กม./ชม. (Urus S ที่ 305 กม./ชม.) SE เป็นรถยนต์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถยนต์ซูเปอร์เอสยูวี
งานออกแบบรถยนต์และอากาศพลศาสตร์
ดีไซน์ของ Urus SE รูปทรงแบบพลศาสตร์เน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ตแข็งแกร่งบึกบึน ส่วนหน้าหรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design โดยลบเส้นสายที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่าง ๆ ทิ้งไปเพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่องและ ชวนให้นึกถึงแนวคิดการออกแบบ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ ๆ อีกมากมาย ทั้งชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ซึ่งเป็นดีไซน์ซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินี การออกแบบส่วนกันชนท้ายและตะแกรงหน้าใหม่ lamborghini
ฝากระโปรงรถแบบ Floating ระบบไฟหน้าดีไซน์ซิกเนเจอร์แบบ DRL ส่วนท้ายให้กว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่และปรับช่องติดป้ายทะเบียนรถให้มีระดับต่ำลง ดีไซน์ตะแกรงหลังมาจากรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีอย่าง Gallardo การออกแบบห้องโดยสารภายในยังคงสืบทอดปรัชญา “Feel like a pilot” เพื่อยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักขับและระบบดิจิทัลภายใน”
การตกแต่งรถยนต์ในสไตล์ของคุณ
Urus SE เสนอออปชันการตกแต่งในรถยนต์คลาสเดียวกัน โดยมีทั้งล้ออัลลอยรุ่นอัปเดตใหม่พร้อมดีไซน์ Galanthus ขนาด 23 นิ้วเป็นรุ่นมาตรฐานพร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโทนสีตัวรถให้เลือกมากมายและออปชันการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ พร้อมนำเสนอ 2 โทนสีใหม่ในวันเปิดตัว ทั้งโทนสี Arancio Egon (สีส้ม) ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Arancio Apodis (สีส้ม) และโทนสี Bianco Sapphirus (สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง) lamborghini urus
ออปชันการตกแต่งภายในยังมอบทางเลือกคู่สีอีกกว่า 47 แบบและการเย็บตะเข็บตกแต่ง 4 สไตล์ (Q-citura stitching) พร้อมออปชันในโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam
ดีไซน์ห้องโดยสารภายใน
การตกแต่งภายในได้รับการอัปเดตใหม่ เพื่อขับเน้นดีไซน์ระดับซิกเนเจอร์ “Feel like a pilot” เหมือนดีเอ็นเอของลัมโบร์กินี โดยใช้ฟีเจอร์ใหม่ บริเวณแผงหน้าปัดด้านหน้า รถยนต์น้ำหนักเบาเหมือนกับในรุ่น Revuelto
หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วใหญ่กว่ารุ่นเดิม ติดตั้งบริเวณกลางแผงหน้าปัดและมอบการแสดงผลกราฟิก Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดายและเป็นธรรมชาติมากขึ้นเหมือนที่พบได้ในรุ่น Revuelto ทีมนักออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบท่อลม โดยตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” อันเป็นเอกลักษณ์ และยังหุ้มส่วนบานตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่งด้วยวัสดุใหม่ นอกจากนี้ ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกด urus se 2024 lamborghini
สัมผัส 4 โหมดการขับขี่ที่แตกต่าง
แผงควบคุม “Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซลเพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย urus se 2024 และด้วยการใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริด เมื่อรวมโหมดการขับขี่ของ Urus ทั้ง 6 แบบเข้ากับการทำงาน Electric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก 4 แบบ ทำให้นักขับมีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง 11 ออปชัน โดยในรุ่นนี้ โหมดพื้นฐานทั้ง Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนนและสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับออปชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ