รถ EV ตั้งแต่ปี 2010-2022 มีรถยนต์จำนวน 60-70 ล้านคันที่ถูกขายออกสู่ท้องถนน ซึ่งรถยนต์น้ำมันเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่ครองตลาดมาอย่างยาวนาน แต่ในช่วง 5 ปีมานี้ ตลาดรถยนต์น้ำมันเริ่มถูกสั่นสะเทือนจากรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV (Electric Vehicle) ที่เรียกได้ว่า เราอาจกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านสำคัญเลยก็ว่าได้ tesla
แต่พี่ทุยอยากให้ทุกคนรู้ว่า ประวัติของรถยนต์ไฟฟ้า การต่อสู้ของรถยนต์น้ำมันและ “รถ EV” ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่มันเริ่มตั้งแต่ต้น “กำเนิด” ของรถยนต์เมื่อ 100 กว่าปีก่อน! ในอดีตเกิดอะไรขึ้น ทำไมรถน้ำมันถึงครองตลาดมาอย่างยาวนาน ในปัจจุบันรถ EV ขึ้นมาเป็นคู่แข่งได้ยังไง และในอนาคตใครจะเป็นผู้ครองตลาด วันนี้พี่ทุยจะมาเจาะลึกให้ฟังแบบเต็ม ๆ
จุดเริ่มต้นของรถยนต์
รถ EV ในสมัยก่อน เวลามนุษย์จะเดินทางไปไหนมาไหน พาหนะยอดฮิตที่ใช้จะเป็นรถม้า แต่พอเข้าสู่ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 เกิดเครื่องจักรไอน้ำขึ้นมา ทำให้มีคนเริ่มคิดแล้วว่า “ทำไมเราไม่ลองสร้างพาหนะที่ใช้พลังไอน้ำแทนม้าดูล่ะ?”
คราวนี้เลยเกิดเป็นรถยนต์ไอน้ำขึ้นมา โดยจะมีหม้อต้มน้ำอยู่ข้างหน้า มีที่นั่งและคันบังคับอยู่ตรงกลาง มีล้ออยู่ 3 ล้อ แต่ถึงแม้จะใช้ไอน้ำแทนม้าได้แล้ว ปัญหาคือความเร็วของรถคันนี้อยู่ที่ 3.6 กม./ชม. เท่านั้น เรียกได้ว่าเดินเอายังเร็วกว่า อีกทั้งกว่าจะสตาร์ทหรือขับได้ก็ต้องต้มน้ำรอเป็นชั่วโมง ทำให้รถไอน้ำไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
กำเนิด “รถ EV” คันแรก กับอุปสรรคที่ไปได้ไม่ไกล
ถึงแม้ไอน้ำจะไม่เวิร์ค แต่ก็เหมือนเป็นการเบิกทางให้คนได้คิดต่อว่า “เราจะใช้อะไรแทนไอน้ำเพื่อให้รถมีประสิทธิภาพดีขึ้น ใช้งานได้จริง?”
แต่แล้ว ทำไมความนิยมในรถ EV ถึงลดลง ถึงขนาดหายหน้าหายตาไปจากท้องถนน?
จริง ๆ แล้ว ในช่วงที่รถ EV ถูกพัฒนา ก็มีรถอีกแบบที่พัฒนาตีคู่มาด้วยเหมือนกัน นั่นคือรถที่ใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้หรือที่เราเรียกว่ารถสันดาปภายใน ซึ่งหลังจากรถ EV ของโทมัส พาร์คเกอร์เปิดตัวไปได้แค่ 2 ปี วิศวกรชาวเยอรมันที่ชื่อว่า “คาร์ล เบนซ์ (Karl Benz)” ก็สร้างรถเชื้อเพลิงเผาไหม้ได้สำเร็จในปี 1886
รถ EV ในศตวรรษที่ 21 เกิดอะไรขึ้นบ้าง ?
อย่างแรกเลยคือราคาน้ำมันเริ่มสูง อีกทั้งปัญหาต่อมาคือสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลง ปริมาณรถน้ำมันเชื้อเพลิงที่เยอะเกินไปเริ่มสร้างมลพิษอย่างหนักให้กับหลาย ๆ ประเทศ คราวนี้มันเลยเป็นโอกาสทองที่รถ EV จะกลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง
และแล้วในปี 2003 วิศวกร 2 คน คือ มาร์ติน เอเบอร์ฮาร์ด (Martin Eberhard) กับมาร์ก ทาร์เพนนิ่ง (Marc Tarpenning) อยากคิดค้นรถ EV ที่สามารถใช้งานได้ทั่วไปเหมือนรถน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมันก็ทำให้เกิดบริษัทที่ชื่อว่า Tesla Motors ขึ้น เพื่อคิดค้นและผลิตรถ EV โดยเฉพาะ ประวัติของรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งทั้งสองคนต้องการทำ Tesla ให้เป็นบริษัท Tech เพื่อซัพพอร์ทองค์ประกอบของรถ EV ที่ต้องมี “แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน มอเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ และซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ที่อำนวยความสะดวก” แต่ถึงแม้จะมีแนวคิดที่ชัดเจนขนาดไหน ปัญหาของ Tesla ในตอนนี้คือไม่มีเงินทุนในการทำโปรเจกต์ที่ว่าได้จริง
และก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ เมื่อมีนักธุรกิจชื่อว่า “อีลอน มัสก์ (Elon Musk)” สนใจเข้ามาลงทุนกับ Tesla เพราะอีลอนมองว่า “รถ EV จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์อนาคต” เมื่อทั้งแผนและทุนพร้อมแล้ว Tesla ก็เดินหน้าพัฒนาสร้างรถ EV รุ่นแรกของตัวเอง
หลังผ่านไป 5 ปี รถรุ่นแรกของ Tesla ก็เปิดตัวในปี 2008 ในชื่อ Tesla Roadster ซึ่งใช้เแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งได้ 320 กม. พร้อมซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ล้ำสมัย และรูปทรงรถในแนวสปอร์ต 2 ประตู
แต่พี่ทุยบอกเลยว่า Tesla Roadster เปิดตัวได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะราคาแตะไปถึงระดับ 100,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 3 ล้านบาท) ทำให้ยังไม่สามารถเข้าไปเบียดตลาดรถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงได้เลย มียอดขายทั่วโลกตั้งแต่ปี 2008-2012 อยู่ที่ 2,450 คัน จนต้องหยุดผลิตไปในปี 2012
แต่ในระหว่างนั้น ไม่ใช่แค่ Tesla ที่กำลังพัฒนารถ EV แต่ยังมี Mitsubishi และ Nissan ที่ตีคู่มาด้วยและเหมือนจะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ โดยในปี 2009 ก็มีการเปิดตัว Mitsubishi I-MiEV ในราคา 4 ล้านเยน (ประมาณ 1 ล้านบาท) ซึ่งถูกกว่า Roadster ประมาณ 65% ทำให้ I-MiEV ตีตลาดได้มากกว่า มียอดขายในปีแรก 986 คัน และในปี 2012 ก็ทะลุไปถึง 10,000 คัน
กำเนิด “รถ EV” ใหม่อีกครั้งกับ Tesla
คราวนี้เราลองกลับมามองที่ Tesla ดูบ้าง หลัง Roadster ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ในช่วงเวลานั้น อีลอน มัสก์ก็ขึ้นเป็น CEO แล้วตั้งใจเร่งพัฒนารถรุ่นใหม่ให้ตอบโจทย์มากกว่าเดิม แต่จากการลงทุนกับ Roadster ทำให้ Tesla เจอปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จนต้องตัดสินใจหาเงินทุนโดยขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เพื่อเอาเงินมาพัฒนารถรุ่นใหม่ต่อ
และในปี 2012 ก็มีการเปิดตัว Tesla Model S ในราคาเริ่มต้น 57,400 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.7 ล้านบาท) ซึ่งถูกกว่า Roadster เกือบ 50% แต่มีระบบการใช้งานและซอฟแวร์ไม่ต่างกัน แถมยังชาร์จได้เร็วขึ้น ทำให้ในปี 2012 Model S ทำยอดขายไปได้ 2,650 คัน และในปี 2013 ทำยอดขายทะลุไปถึง 22,477 คัน ประวัติของรถยนต์ไฟฟ้า
เรียกได้ว่า Model S ประสบความสำเร็จจนต่อลมหายใจให้ Tesla ได้เลยทีเดียว ซึ่งในปี 2015 ก็มี Tesla รุ่นใหม่ที่เป็น SUV ชื่อว่า Tesla Model X ซึ่งมียอดจองล่วงหน้า 30,000 คัน
และในปี 2017 ก็ถึงจุดพีคของ Tesla กับการเปิดตัว Tesla Model 3 ทรงซีดาน วิ่งได้สูงสุด 576 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง พร้อมฟังก์ชันซอฟแวร์ที่ล้ำสมัย กลายเป็นรถ EV ที่ถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุดในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ และมียอดจองล่วงหน้ากว่า 500,000 คัน ขึ้นแท่นเป็นรถ EV ที่ขายดีที่สุด และทำให้ Tesla กลายเป็นบริษัทรถ EV อันดับหนึ่งของโลก tesla
ตลาดรถ EV เติบโตขนาดไหนในปัจจุบัน?
เราเห็นพัฒนาการของรถ EV ในศตวรรษที่ 21 กันแล้ว คราวนี้พี่ทุยจะพาทุกคนไปดูว่าตลาดของรถ EV เป็นยังไงบ้างในปัจจุบัน
1.ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ยอดขายของรถ EV เพิ่มขึ้นทุกปี และในปี 2021 ถือเป็นปีทองของรถ EV โดยมียอดขายไปกว่า 6.5 ล้านคัน
2.ประเทศที่ซื้อรถ EV เยอะที่สุดคือจีน ซึ่งกินพื้นที่ตลาดทั้งโลกไป 50% รองลงมาคือยุโรป 35% และสหรัฐฯ 8%
อย่างที่พี่ทุยได้เล่าไป แบรนด์ใหญ่ ๆ เริ่มพัฒนารถEV และเข้ามาตีตลาดแข่งกับ Tesla คราวนี้เรา
ลองมาดูกันต่อว่าแต่ละแบรนด์กินส่วนแบ่งตลาดไปเท่าไหร่กันบ้าง ประวัติของรถยนต์ไฟฟ้า
อันดับ 1 Tesla 14% โดยรุ่นรถที่ขายดีที่สุดคือ Tesla Model 3 ซึ่งเจาะตลาดจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่
อันดับ 2 Volkswagen 12% ในกลุ่มนี้จะมีแบรนด์อย่าง Audi, Cupra, Porsche, SEAT และ Skoda ซึ่งเจาะตลาดในยุโรปเป็นส่วนใหญ่
อันดับที่ 3 SAIC 11% ในกลุ่มนี้จะมีแบรนด์อย่าง Baojun, Maxus, MG และ Roewe โดยเป็นบริษัทของจีนที่เน้นเจาะตลาดในจีน
อันดับ 4 BYD 9% เป็นบริษัทของจีนที่รถ EV กำลังมาแรง ซึ่งเน้นเจาะตลาดจีนไล่ตาม SAIC และ Tesla
อันดับ 5 Stellantis 6% มีแบรนด์อย่าง Opel และ Fiat เน้นเจาะตลาดในยุโรป tesla
อันดับที่ 6 BMW และ Hyundai กินส่วนแบ่งตลาดเท่ากันคือแบรนด์ละ 5 %